UFABET OFFICIAL SPORT NEWS ข่าวสารวงการกีฬา ที่น่าสนใจ
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ประจำฤดูกาล 2021/22 ทำการแข่งขันเสร็จไปเรียบร้อยแล้วซึ่งต้องรอจนถึงคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเลยทีเดียว กว่าได้บทสรุป เนื่องด้วยเกมคู่ระหว่าง อตาลันต้า กับ บียาร์เรอัล จำเป็นต้องเลื่อนมาจากวันพุธ เพราะหิมะตกหนัก ซึ่งบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ตบเท้าเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ชปล. กันเกือบครบ
โดยเฉพาะ 4 บิ๊กจากเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่มากันแบบพร้อมหน้า ทว่า บาร์เซโลน่า, เอซี มิลาน และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ได้ไปต่อ และนี่คือโฉมหน้า 16 ทีมที่ผ่านมาถึงรอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก UFABET รวมถึงสรุปรายชื่ออีก 8 ทีมที่ต้องลงไปโชว์เพลงแข้งต่อในถ้วยใบกลางอย่าง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 0, แพ้ 2, ยิงได้ 18, เสีย 10 (12 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : ริยาด มาห์เรซ (5 ประตู)
แม้ปิดท้ายด้วยการออกไปแพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก 1-2 เมื่อคืนวันอังคาร แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาการันตีแชมป์กลุ่มได้ก่อนแล้ว ถือเป็นผลงานที่ทำได้ตามเป้าหมายเบื้องต้นสำหรับ “เรือใบสีฟ้า” ภายใต้การนำทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดโค้ชชาวสแปนิช ที่หวังพาทีมคว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” มาครองเป็นสมัยแรก หลังเป็นได้แค่รองแชมป์ในซีซั่นที่แล้ว
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1, ยิงได้ 13, เสีย 8 (11 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : ลิโอเนล เมสซี่ (5 ประตู)
ยอดทีมเมืองน้ำหอมที่อุดมไปด้วยแข้งสตาร์ระดับโลก นำโดย ลิโอเนล เมสซี่, คีลิยัน เอ็มบัปเป้, เนย์มาร์ และ เซร์คิโอ รามอส เข้ารอบน็อกเอาต์ตามคาด ถึงแม้ผลงานไม่ได้สวยหรูดังที่หวัง แต่แน่นอนว่า เปแอสเช คงเป็นชื่อที่บรรดาสโมสรแชมป์กลุ่มอื่นๆ อยากจะเลี่ยงในการประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ผลงาน : ชนะ 6, เสมอ 0, แพ้ 0, ยิงได้ 17, เสีย 6 (18 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (7 ประตู)
ว่ากันว่าถูกจับอยู่ในกลุ่ม “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ที่มีทีมหินๆ อย่าง เอซี มิลาน, แอตเลติโก มาดริด และ ปอร์โต้ แต่กลับกลายเป็นพวกเขาที่ไล่ตบคู่แข่งตายเรียบ คว้าชัยรวดทั้ง 6 เกม ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงสำหรับทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ชปล. และทำผลงานได้ดีเกินคาด ซึ่งหากยังเล่นได้แข็งแกร่งแบบนี้ เชื่อว่าพวกเขาสามารถมองถึงการลุ้นแชมป์สมัยที่ 7 ได้เลย
ผลงาน : ชนะ 2, เสมอ 1, แพ้ 3, ยิงได้ 7, เสีย 8 (7 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : อ็องตวน กรีซมันน์ (4 ประตู)
ทีมรองแชมป์ 3 สมัย (ปี 1974, 2014 และ 2016) ของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ผ่านเข้ารอบแบบหวุดหวิด ชนิดที่ต้องลุ้นยันเกมสุดท้ายเมื่อคืนวันอังคาร ที่พวกเขาบุกสอย ปอร์โต้ ถึงบ้านด้วยสกอร์ 3-1 ซึ่งถึงแม้เข้ามาในสภาพร่อแร่ ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนหลายๆ ทีม แต่เชื่อเหลือเกินว่า “ตราหมี” เป็นทีมที่ไม่มีใครอยากเจอด้วยในรอบน็อกเอาต์
ผลงาน : ชนะ 6, เสมอ 0, แพ้ 0, ยิงได้ 20, เสีย 5 (18 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : เซบาสเตียง อัลแลร์ (10 ประตู)
ยักษ์ใหญ่แดนกังหันลมของกุนซือ เอริค เทน ฮาก โชว์ฟอร์มได้โหดเหลือเกิน เพราะมีสถิติเก็บชัย 100% จากการลงแข่ง 6 นัด แถมซัดคู่แข่งกระจายถึง 20 ประตู โดยที่มี เซบาสเตียง อัลแลร์ หัวหอกร่างโย่งชาวไอวอรี่โคสต์ เป็นดาวเด่น ถือเป็นอีกทีมที่น่าจับตามองเหลือเกินว่า จะไปได้ไกลแค่ไหนในซีซั่นนี้ หลังจากที่เคยเข้าถึงรอบรองฯ เมื่อซีซั่น 2018/19
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 0, แพ้ 3, ยิงได้ 14, เสีย 12 (9 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : โปเต้ (4 ประตู)
แชมป์ลีกแดนฝอยทองมาดีเกินคาดในซีซั่นนี้ หลังจากที่สามารถเอาตัวรอดจากรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ (การันตีเข้ารอบได้ก่อนนัดสุดท้ายด้วย) แม้จบด้วยการมี 9 แต้ม เท่ากับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมอันดับสาม แต่พวกเขามีสถิติ “เฮด-ทู-เฮด” ดีกว่า “เสือเหลือง” และด้วยการที่ทำได้ถึง 14 ประตู ทำให้ทัพ “สิงโตแห่งลิสบอน” เป็นทีมที่มีเกมรุกไม่ธรรมดา และไม่อาจมองข้ามได้
ผลงาน : ชนะ 5, เสมอ 0, แพ้ 1, ยิงได้ 14, เสีย 3 (15 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : คาริม เบนเซม่า (5 ประตู)
ทีมแชมป์ 13 สมัย ยังคงทำผลงานได้ดีตามมาตรฐาน แม้ระหว่างเส้นทางมีพลิกล็อกแพ้ เชรีฟฟ์ ติราสปอล คาบ้าน 1-2 เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน แต่นอกนั้นอีก 5 เกม พวกเขาคว้าชัยรวด แถมตัวเด่นๆ แทงบอล ในแนวรุกอย่าง คาริม เบนเซม่า และ วินิซิอุส จูเนียร์ ต่างก็เล่นได้ท็อปฟอร์มมากๆ ในซีซั่นนี้ นับเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่พวกเขามีโอกาสไปได้ไกล
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 8, เสีย 5 (10 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : เอดิน เชโก้ (3 ประตู)
ทีมแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ออกสตาร์ท 2 เกมแรกแบบไร้ชัย (เสมอ 1, แพ้ 1) แต่พวกเขาก็มาเร่งเครื่อง เดินหน้าคว้าชัย 3 นัดรวด ทำให้ “งูใหญ่” การันตีการผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ได้ตั้งแต่ก่อนถึงนัดสุดท้าย (ที่ออกไปแพ้ เรอัล มาดริด 0-2 เมื่อคืนวันอังคาร) และแน่นอนว่า ทีมของกุนซือ ซิโมเน่ อินซากี้ เป็นอีกหนึ่งรองแชมป์กลุ่ม ที่บรรดาทีมแชมป์กลุ่มคงไม่อยากเจอด้วย
ผลงาน : ชนะ 6, เสมอ 0, แพ้ 0, ยิงได้ 22, เสีย 3 (18 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (9 ประตู)
“เสือใต้” แชมป์ 6 สมัย ที่ได้หนล่าสุดเมื่อปี 2020 ยังคงถูกมองเป็นเต็งแชมป์เสมอ และซีซั่นนี้พวกเขาก็ยังมาโหดเหมือนเดิม แถมดุดันกว่าชาวบ้านชาวช่อง โดยซิวแชมป์กลุ่ม อี แบบอีซี่ๆ ด้วยผลงานชนะ 100% พร้อมกับเป็นทีมที่ทำประตูได้มากสุดในทัวร์นาเมนต์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บาเยิร์น ของกุนซือ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ คือชื่อแรกๆ ที่หลายทีมอยากจะเลี่ยง
ผลงาน : ชนะ 2, เสมอ 2, แพ้ 2, ยิงได้ 7, เสีย 9 (8 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : ดาร์วิน นูนเญซ (3 ประตู)
ชัยชนะเหนือ ดินาโม เคียฟ 2-0 เมื่อคืนวันพุธ ทำให้ “เหยี่ยวลิสบอน” ของกุนซือ จอร์จ เชซุส แซง บาร์เซโลน่า เข้าป้ายรองแชมป์กลุ่ม ซึ่งถึงแม้ผลงานไม่ค่อยดูดี แต่พวกเขามีจุดแข็งอยู่ที่เกมในรัง เอสตาดิโอ ดา ลุซ ของตัวเอง ซึ่งโดยรวมถือว่าแพ้ยาก ต่อให้พ่ายยับเยินคาบ้านต่อ บาเยิร์น 0-4 เมื่อช่วงเดือนตุลาคม แต่พวกเขาก็โค่นทั้ง บาร์ซ่า และ ดินาโม เคียฟ ได้แบบไม่เสียประตู
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1, ยิงได้ 11, เสีย 8 (11 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (6 ประตู)
ถึงแม้ผลงานกระท่อนกระแท่น แถมคว้าชัยชนะได้จากทีเด็ดของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ช่วงท้ายเกมหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ถือว่าพวกเขาทำได้เยี่ยมสำหรับการเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่มได้ ซึ่งน่าสนใจเหลือเกินว่า “ปีศาจแดง” ภายใต้การนำทัพของกุนซือ ราล์ฟ รังนิก จะไปได้ไกลแค่ไหนในรายการนี้
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 12, เสีย 9 (10 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : อาร์เนาต์ ดานยูม่า (4 ประตู)
ทีมของกุนซือ อูไน เอเมรี่ การันตีตำแหน่งรองแชมป์กลุ่ม ด้วยการบุกไปเชือด อตาลันต้า 3-2 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาไม่ต้องลงไปลุ้นป้องกันแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก แม้ผลงานดูขึ้นๆ ลงๆ ไม่ค่อยคงเส้นคงว่า แต่ทีม “เรือดำน้ำสีเหลือง” มีเกมรุกที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ อาร์เนาต์ ดานยูม่า ปีกจอมพลิ้วชาวดัตช์ ที่ฟอร์มจัดจ้านเหลือเกิน
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1, ยิงได้ 7, เสีย 4 (11 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : โจนาธาน เดวิด (3 ประตู)
นี่คือกลุ่มที่สูสีสุดๆ เพราะทั้ง ลีลล์, เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก, เซบีย่า และ เฟาเอฟแอล โวล์ฟสบวร์ก ต่างยังมีลุ้นเข้ารอบ 16 ทีม จนถึงนัดสุดท้าย แต่ชัยชนะ 3-1 ที่บ้านของ โวล์ฟสบวร์ก เมื่อคืนวันพุธ ทำให้ทีมแชมป์ ลีก เอิง ฝรั่งเศส คว้าตั๋วเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย เพราะพวกเขาออกสตาร์ท 3 เกมแรก ด้วยการเก็บได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 8, เสีย 6 (10 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : คาริม อเดเยมี่, โนอาห์ โอคาฟอร์ (3 ประตู)
ตอนแรกยอดทีมจากออสเตรียดูเหมือนผ่านเข้ารอบได้ไม่ยาก เพราะ 3 เกมแรก โกยไปถึง 7 แต้ม แต่พวกเขาดันมาแพ้รวด 2 เกมหลังจากนั้น ทว่าชัยชนะ 1-0 เหนือ เซบีย่า เมื่อคืนวันพุธ ทำให้ ซัลซ์บวร์ก ซึ่งเป็นทีมที่มีอายุเฉลี่ยน้อยสุดในทัวร์นาเมนต์ คว้าตั๋วลุยรอบ 16 ทีมสุดท้าย ได้สำเร็จ และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่สามารถผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้
ผลงาน : ชนะ 5, เสมอ 0, แพ้ 1, ยิงได้ 10, เสีย 6 (15 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : เปาโล ดีบาล่า (3 ประตู)
ถึงแม้มีผลงานน่าผิดหวังในลีก แต่ทีม “เบียงโคเนรี่” ของกุนซือ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี มาดีเหลือเกินใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ โดยแพ้แค่นัดเดียว (ออกไปพ่าย เชลซี 0-4 เมื่อ 23 พ.ย.) นอกนั้นอีก 5 นัดซิวชัยเรียบ ซึ่งก็รวมถึงเกมสุดท้ายที่เปิดบ้านเชือด มัลโม่ 1-0 เมื่อคืนวันพุธ ทำให้พวกเขาแซง เชลซี คว้าแชมป์กลุ่ม และมีโอกาสเจองานไม่หนักมากในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 1, แพ้ 1, ยิงได้ 13, เสีย 4 (13 แต้ม)
ดาวซัลโวสูงสุด : ติโม แวร์เนอร์ (3 ประตู)
ทีมแชมป์เก่า ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มอย่างน่าเสียดาย หลังจากที่โดน เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ตีเสมอ 3-3 นาทีที่ 90+4 ในเกมส่งท้ายเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าจะเข้ารอบแบบแชมป์กลุ่มหรือรองแชมป์กลุ่ม เชลซี ของกุนซือ โธมัส ทูเคิ่ล สู้ได้กับทุกทีมอยู่แล้ว และพร้อมชนกับทุกหน้าในรอบน็อกเอาต์
สรุป 8 ทีมที่อกหักจาก 16 ทีมสุดท้าย ชปล. ต้องลงไปลุยต่อในศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งเป็นทีมที่จบอันดับสามของแต่ละกลุ่ม และทั้ง 8 ทีมนี้ต้องไปจับสลากเตะรอบเพลย์ออฟกับทีมรองแชมป์แต่ละกลุ่มของ ยูโรปา ลีก เพื่อหาอีก 8 ทีมไปเตะรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป
– แอร์เบ ไลป์ซิก (กลุ่ม เอ)
– ปอร์โต้ (กลุ่ม บี)
– โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (กลุ่ม ซี)
– เชรีฟฟ์ ติราสปอล (กลุ่ม ดี)
– บาร์เซโลน่า (กลุ่ม อี)
– อตาลันต้า (กลุ่ม เอฟ)
– เซบีย่า (กลุ่ม จี)
– เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (กลุ่ม เอช)
สำหรับการจับสลากประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก จะมีขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ ยูฟ่า ณ เมืองนียง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคมนี้ โดยเกมเลกแรกจะฟาดแข้งในวันที่ 15-16 และ 22-23 กุมภาพันธ์ ปี 2022 ส่วนเลกสองจะเตะในวันที่ 8-9 และ 15-16 มีนาคม 2022
ผีแดงคว้าแชมป์กลุ่ม หลังเปิดบ้านแบ่งแต้ม ยัง บอยส์
เสือใต้โหดจัด อัดบาร์ซ่า 3-0 ชนะรวดรอบแบ่งกลุ่ม
สิงห์บลูส์อดเป็นแชมป์กลุ่ม หลังโดนยอดทีมหมีขาวแบ่งแต้ม
Last Update : 10 ธันวาคม 2021 (ข้อมูลล่าสุดปี 2021) VIEWS : 554 views
5 กุมภาพันธ์ 2023